Meso Fat vs HIFU ลดแก้ม
แชร์บทความ

ทำความรู้จัก Meso Fat vs HIFU ลดแก้มแบบไหนเห็นผลชัดกว่า?

แก้มกลม หน้าดูมีเนื้อ มักเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนขาดความมั่นใจ เพราะทำให้ใบหน้าดูกว้าง ไม่เรียว และถ่ายรูปออกมาไม่คมชัดอย่างที่ต้องการ ปัจจุบันมีหลายวิธีที่ช่วยลดแก้มโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งสองวิธีที่ได้รับความนิยมสูงคือ Meso Fat vs HIFU ลดแก้ม หลายคนจึงสงสัยว่า ลดแก้มด้วยวิธีไหนเห็นผลชัดกว่า?”

บทความนี้ ลา กราซคลินิก จะพาคุณมาทำความรู้จักทั้งสองเทคนิค ทั้ง ข้อดี ข้อจำกัด ระยะเวลาเห็นผล ไปจนถึงคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าแบบไหนเหมาะกับตัวเองที่สุด

👉 “นอกจาก Meso Fat และ HIFU แล้ว ยังมีหัตถการยอดนิยมอย่าง Botox ที่ช่วยปรับรูปหน้าเรียวได้อย่างเป็นธรรมชาติ”

Meso Fat คืออะไร?

Meso Fat หรือการฉีดเมโสแฟต เป็นเทคนิคการฉีดตัวยา ที่ช่วยสลายไขมันเฉพาะจุด เข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิว โดยตัวยา จะไปทำให้เซลล์ไขมันแตกตัว และถูกขับออกจากร่างกายผ่านระบบเผาผลาญตามธรรมชาติ

(“การฉีด Meso Fat จัดอยู่ในกลุ่มการทำหัตถการที่เรียกว่า Injection Lipolysis ซึ่งช่วยทำลายเซลล์ไขมันเฉพาะจุดโดยใช้สารละลายไขมัน”)

กลไกการทำงาน

สารที่ฉีดเข้าไป จะทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ไขมันแตกสลาย กลายเป็นกรดไขมันอิสระ และถูกขับออกทางระบบน้ำเหลือง และตับในที่สุด ทำให้ปริมาณไขมันใต้ผิวลดลง

เหมาะกับใคร?

  • คนที่มีปัญหาแก้มกลมจากไขมันสะสม ไม่ใช่โครงกระดูก
  • ผู้ที่อยากปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น โดยไม่ผ่าตัด
  • คนที่ต้องการเห็นผลค่อนข้างเร็ว และยอมรับการฉีดได้

ความรู้สึกระหว่างทำ

ตอนฉีดจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย บริเวณแก้มอาจมีอาการตึง บวม หรือรอยช้ำเล็กน้อย ซึ่งจะค่อย ๆ หายไปใน 2–3 วัน

ข้อดีของ Meso Fat

  • ทำได้เร็ว ไม่ต้องพักฟื้น
  • เห็นผลใน 1–2 สัปดาห์
  • ลดไขมันเฉพาะจุด ได้ตรงตามต้องการ

ข้อจำกัดของ Meso Fat

  • ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง เพื่อผลลัพธ์ชัดเจน
  • ผลลัพธ์ขึ้นกับการดูแลตัวเอง (อาหาร, การออกกำลังกาย)
  • บางคนอาจมีอาการบวมช้ำเล็กน้อยหลังฉีด

“อย่างไรก็ตาม องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาได้ออกคำเตือนว่า การฉีดสลายไขมันบางชนิด ที่ไม่ได้ผ่านการอนุมัติ อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้”

การดูแลหลังทำ

  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยขับไขมันออก
  • หลีกเลี่ยงอาหารทอด มัน เค็มจัด
  • ออกกำลังกายเบา ๆ จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ

HIFU คืออะไร?

HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) เป็นเทคโนโลยียกกระชับผิว โดยใช้คลื่นอัลตราซาวด์พลังงานสูง ยิงลงไปที่ชั้นผิวลึก (SMAS Layer) ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยแพทย์ใช้ดึงหน้า ช่วยกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจน และยกกระชับผิว ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น

👉 “เทคโนโลยีที่ใกล้เคียงกับ HIFU อีกอย่างคือ Ulthera ซึ่งเน้นยกกระชับผิวลึกเช่นกัน”

กลไกการทำงาน

คลื่นอัลตราซาวด์จะโฟกัสลงไปใต้ผิว ทำให้เกิดจุดร้อนขนาดเล็ก (thermal coagulation point) → ส่งผลให้เส้นใยคอลลาเจนหดตัว และกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง คอลลาเจนใหม่ในระยะยาว

👉 “พลังงาน HIFU กระตุ้นการสร้าง คอลลาเจน ใต้ผิว ทำให้ผิวแน่นกระชับขึ้น”

เหมาะกับใคร?

  • คนที่มีแก้มจากความหย่อนคล้อย ไม่ใช่ไขมันสะสมมาก
  • ผู้ที่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากฉีดสารใดๆ เข้าไป
  • คนที่ต้องการกระชับผิว และปรับรูปหน้าไปพร้อมกัน

ความรู้สึกระหว่างทำ

อาจรู้สึกเหมือนโดน “ดีดหนังยาง” เบา ๆ หรือมีความอุ่นใต้ผิว แต่ไม่เจ็บจนทนไม่ได้ และไม่ต้องพักฟื้น

ข้อดีของ HIFU

  • ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องพักฟื้น
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแน่นขึ้น
  • ผลลัพธ์อยู่ได้ 6 เดือน – 1 ปี

ข้อจำกัดของ HIFU

  • ไม่เหมาะกับคนที่มีไขมันแก้มหนามาก → เพราะ HIFU เน้นกระชับ ไม่ได้สลายไขมันโดยตรง
  • เห็นผลชัดเจนหลัง 2–3 เดือน เพราะต้องรอการสร้างคอลลาเจนใหม่
  • ราคาสูงกว่า Meso Fat

👉 “สำหรับผู้ที่สนใจการยกกระชับโดยไม่ต้องฉีด อาจพิจารณา Thermage เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก”

การดูแลหลังทำ

  • สามารถแต่งหน้า ออกกำลังกายได้ตามปกติ
  • หมั่นทาครีมกันแดดเป็นประจำ
  • ใช้สกินแคร์บำรุง เพื่อเสริมการสร้างคอลลาเจน

เปรียบเทียบ Meso Fat vs HIFU ลดแก้ม

ประเด็นMeso FatHIFU
วิธีการทำฉีดตัวยาสลายไขมันเข้าสู่ชั้นไขมันใช้คลื่นอัลตราซาวด์พลังงานสูงยกกระชับ
เหมาะกับใครคนที่มีไขมันแก้มเยอะคนที่มีแก้มหย่อนคล้อย
เจ็บ/พักฟื้นเจ็บเล็กน้อย มีบวมช้ำแทบไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น
ระยะเวลาเห็นผล1–2 สัปดาห์2–3 เดือน
ผลลัพธ์อยู่ได้นาน3–6 เดือน6–12 เดือน
ราคาต่ำกว่า เหมาะกับทำซ้ำสูงกว่า แต่ทำปีละ 1–2 ครั้งพอ
ข้อดีลดไขมันเฉพาะจุดยกกระชับ ปรับโครงหน้า
ข้อจำกัดต้องทำหลายครั้ง, ผลขึ้นกับการดูแลไม่สลายไขมันโดยตรง

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้

  • Meso Fat: เห็นความเปลี่ยนแปลงหลัง 1–2 สัปดาห์ ชัดเจนที่สุดที่ 2–4 สัปดาห์
  • HIFU: ผลลัพธ์ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ชัดเจนที่สุดที่ 2–3 เดือน อยู่ได้นานกว่า

แล้วแบบไหนเห็นผลกว่ากัน?

คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของแก้ม

  • ถ้าแก้มกลมเพราะไขมันสะสม → Meso Fat จะเห็นผลชัดเจนกว่า
  • ถ้าแก้มตกเพราะผิวหย่อนคล้อย → HIFU จะช่วยได้ดีกว่า
  • กรณีแก้มมีทั้งไขมัน + ผิวหย่อน → อาจใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ดังนั้น การเลือกทำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อประเมินว่าปัญหาของคุณเกิดจากไขมัน หรือความหย่อนคล้อย

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Meso Fat vs HIFU

Q: Meso Fat เห็นผลกี่ครั้ง?

A: โดยทั่วไปต้องทำ 3–5 ครั้ง ห่างกัน 2–4 สัปดาห์ เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน

Q: HIFU ทำแล้วเจ็บไหม?

A: ส่วนใหญ่เจ็บเพียงเล็กน้อยขณะทำ ไม่ต้องพักฟื้น

Q: สามารถทำ Meso Fat และ HIFU ร่วมกันได้ไหม?

A: ได้ค่ะ บางเคสแพทย์อาจแนะนำให้ทำร่วมกันเพื่อกำจัดไขมัน และกระชับผิวไปพร้อมกัน

Q: ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?

A: Meso Fat อยู่ได้ 3–6 เดือน ขึ้นกับการดูแลตัวเอง ส่วน HIFU อยู่ได้ 6–12 เดือน

สรุป

ทั้ง Meso Fat และ HIFU ต่างก็เป็นทางเลือกยอดนิยมในการลดแก้มและปรับรูปหน้า แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันไป หากคุณมีไขมันแก้มเยอะ Meso Fat จะช่วยได้ชัดเจน แต่ถ้าปัญหาหลักคือผิวหย่อนคล้อย HIFU จะตอบโจทย์มากกว่า และหากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในบางเคส อาจทำร่วมกันได้


“หากคุณไม่มั่นใจว่าแก้มตัวเองเกิดจากไขมันหรือความหย่อนคล้อย ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ La Grace Clinic เพื่อรับคำแนะนำและเลือกวิธีลดแก้มที่เหมาะกับคุณที่สุด”


Similar Posts