รักษาฝ้า คืนหน้าใส ครั้งละ 999 บาทเท่านั้น

ฝ้า 2025-03_0

LIVE CHAT คลิกปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี!

ฝ้า (Melasma) คือการเกิดรอยดำบนผิวหนังที่มักพบได้ที่ใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก หรือคาง ซึ่งมักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงวัยเจริญพันธุ์ เช่น ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือผู้ใช้ยาคุมกำเนิด ฝ้าหมักหมมจากการกระตุ้นของฮอร์โมนและการสัมผัสกับแสงแดด ทำให้เม็ดสีในผิวหนังเพิ่มขึ้น การ รักษาฝ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป

สาเหตุของการเกิดฝ้า

ฝ้ามีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้:

แสงแดด

แสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฝ้าเกิดขึ้น เพราะแสงแดดกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งเป็นการปกป้องผิวจากรังสียูวี แต่หากได้รับแสงแดดมากเกินไปอาจทำให้เมลานินมีการสะสมจนเกิดฝ้า

ฮอร์โมน

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ (เรียกว่า “หน้าท้อง” หรือ “mask of pregnancy”) หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ทำให้เม็ดสีในผิวหนังเปลี่ยนแปลงและเกิดฝ้า

พันธุกรรม

คนที่มีประวัติการเป็นฝ้าในครอบครัวมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดฝ้า

ยาบางประเภท

ยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด ยาฮอร์โมน หรือยาบางชนิดที่ทำให้ผิวไวต่อแสงอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดฝ้า

การเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม

มลพิษในอากาศหรือสิ่งแวดล้อมที่มีสารเคมีสามารถกระตุ้นให้ผิวเกิดฝ้าได้

ประเภทของฝ้า

ฝ้า (Melasma) สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตามลักษณะการกระจายตัวของเม็ดสีบนผิวหนัง โดยแต่ละประเภทมีลักษณะและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป ดังนี้:

ฝ้าประเภทข้างแก้ม (Malar Melasma)

ฝ้าประเภทนี้จะเกิดขึ้นในบริเวณข้างแก้มทั้งสองข้าง มักพบในผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด โดยลักษณะของฝ้า จะเป็นรอยคล้ำที่แผ่ขยายออกจากจมูกไปถึงโหนกแก้ม

วิธีการ รักษาฝ้า ประเภทข้างแก้ม:

  • การใช้ครีมทาฝ้า: ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) หรือกรดอะซิติก (Azelaic Acid) เพื่อช่วยลดการสะสมของเม็ดสีในบริเวณที่เป็นฝ้า
  • การทำเลเซอร์: การใช้เลเซอร์ Q-Switched หรือ PicoSure เพื่อทำลายเม็ดสีในชั้นผิว
  • การทำ Chemical Peels: ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวและลดการสะสมของเม็ดสีในผิวชั้นบน

ฝ้าประเภทเหนือริมฝีปาก (Perioral Melasma)

ฝ้าประเภทนี้จะเกิดขึ้นบริเวณเหนือริมฝีปาก โดยมีลักษณะเป็นจุดคล้ำที่สามารถขยายออกไปจนถึงคาง มักพบในผู้หญิงที่มีการใช้ยาคุมกำเนิดหรือมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

วิธีการ รักษาฝ้า ประเภทเหนือริมฝีปาก:

  • การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน C หรือ เรตินอยด์: ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสี และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
  • การทำเลเซอร์: เลเซอร์ Fractional สามารถช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และลดการเกิดฝ้าในบริเวณที่เป็น
  • การรักษาด้วยแสง IPL: ช่วยลดการสะสมของเม็ดสีในบริเวณที่มีฝ้า และปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้น

ฝ้าประเภทกลางหน้าผาก (Frontal Melasma)

ฝ้าประเภทนี้มักเกิดขึ้นที่กลางหน้าผาก หรือที่คิ้ว โดยมักจะมีลักษณะเป็นรอยคล้ำที่ขยายออกจากคิ้วไปถึงหน้าผาก ทำให้ผิวหน้าดูไม่สม่ำเสมอ

วิธีการ รักษาฝ้า ประเภทกลางหน้าผาก:

  • การใช้ครีมที่มีสารกันแดดสูง (SPF 30 ขึ้นไป): การใช้ครีมกันแดดช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมา
  • การทำเลเซอร์ Fractional: ช่วยกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และลดการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิว
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วย Chemical Peels: การใช้กรด AHA หรือกรดอื่นๆ ช่วยผลัดเซลล์ผิว และทำให้ผิวดูสดใสขึ้น

ฝ้าประเภทที่กระจายเป็นจุดเล็กๆ (Reticular Melasma)

ฝ้าประเภทนี้มักพบในคนที่มีสภาพผิวบางและไวต่อแสง โดยฝ้ามักจะกระจายเป็นจุดเล็กๆ ที่มีขอบเขตชัดเจน มักพบในบริเวณหน้าผาก โหนกแก้ม และบริเวณจมูก

วิธีการรักษาฝ้าประเภทที่กระจายเป็นจุดเล็กๆ:

  • การใช้ครีมลดฝ้าที่มีกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid): ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว และลดการสะสมของเม็ดสี
  • การทำเลเซอร์ Q-Switched หรือ PicoSure: เลเซอร์เหล่านี้ สามารถช่วยขจัดเม็ดสีที่สะสมในชั้นผิว
  • การรักษาด้วยแสง IPL: การใช้แสง IPL ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการสะสมของเม็ดสีในบริเวณที่เป็นฝ้า

ฝ้าประเภทหลังการตั้งครรภ์ (Chloasma or Pregnancy Mask)

ฝ้าประเภทนี้มักพบในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งทำให้ผิวหน้ามีรอยคล้ำบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และริมฝีปาก

วิธีการ รักษาฝ้า ประเภทหลังการตั้งครรภ์:

  • การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) หรือ กรดอะซิติก (Azelaic Acid): สามารถช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของฝ้า
  • การทำเลเซอร์: เลเซอร์ Fractional หรือ PicoSure เหมาะสำหรับการรักษาฝ้าในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หลังจากคลอด
  • การรักษาด้วยแสง IPL: ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส และลดการสะสมของเม็ดสี

นอกจากจะจำแนกประเภทของฝ้า ตามลักษณะการกระจายตัวตามผิวหนังแล้ว เรายังสามารถจำแนกฝ้า ตามลักษณะของการสะสมของเม็ดสีในผิวหนัง ได้แก่ ฝ้าลึก, ฝ้าตื้น, และ ฝ้าผสม โดยแต่ละประเภท มีลักษณะการรักษาที่แตกต่างกัน ตามระดับการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิว:

ฝ้าลึก (Dermal Melasma)

ฝ้าลึก เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนังลึก (Dermis) ทำให้เกิดรอยคล้ำที่มีลักษณะเป็นสีเทา หรือสีน้ำตาลเข้ม โดยทั่วไปจะพบในผู้ที่มีผิวเข้ม และมักจะเป็นผลจากการกระตุ้นของฮอร์โมน หรือการสัมผัสกับแสงแดดในระยะยาว

ฝ้าลึก (Dermal Melasma) มักเกิดในบริเวณที่มีการสัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ และมีการสะสมของเม็ดสี ในชั้นผิวหนังลึก (Dermis) ซึ่งทำให้ฝ้ามีลักษณะเป็นสีเทา หรือสีน้ำตาลเข้ม โดยมักจะเกิดในบริเวณดังต่อไปนี้:

  1. แก้ม (Cheeks):
    เป็นบริเวณที่พบบ่อยที่สุดของฝ้าลึก เพราะผิวบริเวณนี้มักได้รับแสงแดดบ่อย และมีการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง
  2. หน้าผาก (Forehead):
    อีกหนึ่งบริเวณที่พบฝ้าลึกบ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติการสัมผัสแสงแดด หรือมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสี
  3. ริมฝีปาก (Upper Lip):
    ฝ้าลึกอาจเกิดในบริเวณเหนือริมฝีปาก เนื่องจากแสงแดด และการสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสี
  4. ขมับ (Temples):
    บริเวณขมับก็เป็นพื้นที่ที่พบฝ้าลึกได้ เพราะเป็นจุดที่ได้รับแสงแดดมากในบางทิศทาง

ฝ้าลึกมักมีลักษณะของรอยฝ้าที่คล้ำลงหรือสีเทา ซึ่งไม่สามารถลบออกได้ง่ายและอาจต้องใช้การรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น เลเซอร์ หรือการใช้ยาทาเฉพาะที่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี.

วิธีการรักษาฝ้าลึก:

  • การใช้ครีมทาฝ้า: ครีมที่มีส่วนผสมของ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone), เรตินอยด์ (Retinoids) หรือ กรดอะซิติก (Azelaic Acid) สามารถช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสี และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว
  • การทำเลเซอร์: การใช้ เลเซอร์ Q-Switched หรือ PicoSure สามารถช่วยทำลายเม็ดสีในชั้นผิวหนังลึก และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
  • การทำ Chemical Peels: การใช้กรด AHA หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดการสะสมของเม็ดสีในผิวชั้นลึก

ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma)

ฝ้าตื้น เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานิน ในชั้นผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) ซึ่งทำให้เกิดรอยคล้ำ ที่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอ่อน และสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากกว่าในฝ้าลึก

ฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) มักเกิดในบริเวณที่ผิวสัมผัสกับแสงแดดบ่อยๆ และฝ้าตื้นจะสะสมเม็ดสีในชั้นผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) ซึ่งทำให้ฝ้ามีลักษณะเป็นสีคล้ำ และสามารถมองเห็นได้ชัดเจน โดยฝ้าตื้นมักจะเกิดในบริเวณต่างๆ ดังนี้:

  1. แก้ม (Cheeks):
    เป็นบริเวณที่พบฝ้าตื้นได้บ่อยที่สุด เนื่องจากผิวบริเวณนี้มักได้รับแสงแดดโดยตรงและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า
  2. หน้าผาก (Forehead):
    ฝ้าตื้นสามารถเกิดขึ้นที่หน้าผากได้ เนื่องจากบริเวณนี้ มักได้รับแสงแดดในขณะที่คนเราทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เดินกลางแจ้ง
  3. เหนือริมฝีปาก (Upper Lip):
    บริเวณเหนือริมฝีปากหรือ “ปากกระจับ” เป็นจุดที่พบบ่อยของฝ้าตื้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ หรือจากการใช้ยาคุมกำเนิด
  4. จมูก (Nose):
    ฝ้าตื้นอาจพบได้ที่บริเวณจมูก เนื่องจากเป็นจุดที่สัมผัสกับแสงแดดบ่อย
  5. คาง (Chin):
    บางครั้งฝ้าตื้นอาจเกิดบริเวณคางซึ่งมักเป็นพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดจากการทำกิจกรรมกลางแจ้ง

โดยทั่วไป ฝ้าตื้นจะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาล หรือสีน้ำตาลอ่อนที่สามารถรักษาได้ง่ายกว่าฝ้าลึก โดยมักจะหายไปหลังจากการรักษาด้วยการใช้ครีม หรือการทำเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นพอสมควร.

วิธีการรักษาฝ้าตื้น:

  • การใช้ครีมทาฝ้า: ครีมที่มีส่วนผสมของ วิตามิน C, กรด AHA, หรือ กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิวหนังชั้นนอก
  • การทำเลเซอร์: การใช้ เลเซอร์ Fractional หรือ Q-Switched สามารถช่วยลดเม็ดสีในชั้นผิวชั้นนอก และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่
  • การรักษาด้วยแสง IPL: การใช้แสง IPL (Intense Pulsed Light) ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดการสะสมของเม็ดสีในชั้นผิวหนัง

ฝ้าผสม (Mixed Melasma)

ฝ้าผสม เป็นการสะสมของเม็ดสี ทั้งในชั้นผิวหนัง Epidermis และ Dermis ซึ่งทำให้รอยฝ้าดูคล้ำ และกระจายไปทั่วบริเวณใบหน้า โดยทั่วไปฝ้าผสม จะมีลักษณะซับซ้อน และรักษายากกว่าฝ้าลึกและฝ้าตื้น

ฝ้าผสม (Mixed Melasma) เกิดจากการสะสมของเม็ดสีทั้งใน ชั้นผิวหนังชั้นนอก (Epidermis) และ ชั้นผิวหนังลึก (Dermis) ซึ่งทำให้มีลักษณะฝ้าที่ซับซ้อน และรักษายากกว่าเนื่องจากมีการกระจายเม็ดสีทั้งในชั้นตื้น และลึกของผิวหนัง ฝ้าผสมมักเกิดในบริเวณที่ได้รับแสงแดดโดยตรงและมักมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเข้ม และจางลงสลับกัน ดังนี้:

  1. แก้ม (Cheeks):
    เป็นบริเวณที่พบฝ้าผสมได้บ่อยที่สุด เพราะแก้มเป็นบริเวณที่ได้รับแสงแดดมาก และฝ้าผสมสามารถเกิดได้ทั้งในชั้นผิวหนังตื้นและลึก ทำให้ฝ้ามีลักษณะหลายสี และลึก
  2. หน้าผาก (Forehead):
    หน้าผาก เป็นอีกบริเวณหนึ่งที่พบฝ้าผสมได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติการสัมผัสแสงแดดมาก ซึ่งทำให้เม็ดสีสะสมในทั้งชั้นตื้น และลึก
  3. เหนือริมฝีปาก (Upper Lip):
    ฝ้าผสมมักเกิดในบริเวณเหนือริมฝีปาก ซึ่งเป็นพื้นที่ ที่ได้รับแสงแดด และอาจมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด
  4. ขมับ (Temples):
    บริเวณขมับ ก็เป็นพื้นที่ที่พบฝ้าผสมได้ เนื่องจากได้รับแสงแดดในบางทิศทาง และสามารถสะสมเม็ดสีในทั้งสองชั้นของผิวหนัง

ฝ้าผสมมักมีลักษณะที่ยากต่อการรักษา เพราะเม็ดสีที่สะสมอยู่ทั้งในชั้นผิวตื้น และลึก ทำให้ต้องใช้วิธีการรักษาหลายๆ แบบร่วมกัน เช่น การทำเลเซอร์, การใช้ครีมทาฝ้าที่ช่วยบำรุง และลดการผลิตเม็ดสี, หรือการใช้เทคโนโลยีการผลัดเซลล์ผิว.

วิธีการรักษาฝ้าผสม:

  • การใช้ครีมทาฝ้า: ครีมที่มีสารช่วยลดการผลิตเม็ดสี เช่น Hydroquinone, Vitamin C, หรือ Retinoids ช่วยให้การรักษาฝ้าผสมมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • การทำเลเซอร์: การใช้ PicoSure หรือ Q-Switched Laser ช่วยในการทำลายเม็ดสีทั้งในชั้นผิวหนังชั้นนอก และลึก
  • การทำ Chemical Peels: การผลัดเซลล์ผิวโดยใช้กรด AHA หรือกรดไกลโคลิกสามารถช่วยในการลดเม็ดสีที่สะสมทั้งในชั้นผิวหนังตื้นและลึก
  • การรักษาด้วยแสง IPL: ช่วยในการลดการสะสมของเม็ดสี และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีสีที่สม่ำเสมอขึ้น

วิธีการป้องกันฝ้า

การป้องกันฝ้าทำได้หลายวิธี โดยการหลีกเลี่ยงสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้:

  1. ใช้ครีมกันแดดทุกวัน: ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง (30 ขึ้นไป) จะช่วยป้องกันผิว จากการทำร้ายของรังสียูวีที่ทำให้เกิดฝ้า
  2. สวมหมวก และแว่นกันแดด: การสวมหมวก และแว่นกันแดด สามารถช่วยลดการสัมผัสกับแสงแดดที่หน้า
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ยาฮอร์โมน: หากไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด หรือยาฮอร์โมนในระยะยาว
  4. รักษาความชุ่มชื้นของผิว: การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่วยให้ผิวไม่แห้ง และลดการเกิดฝ้า

วิธีการรักษาฝ้า

การรักษาฝ้ามีหลายวิธีทั้งการใช้ยา และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถช่วยลดการเกิดฝ้าและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ดังนี้:

การใช้ครีมทาฝ้า

ครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมใช้ในการรักษาฝ้า สารต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพในการลดฝ้า ได้แก่:

  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone): สารที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดฝ้า
  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิว และช่วยลดการสะสมของเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของฝ้า
  • วิตามิน C: มีคุณสมบัติในการยับยั้งการผลิตเมลานิน และช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง
  • กรดอะซิติก (Azelaic Acid): ช่วยลดการผลิตเม็ดสี และลดการเกิดสิว ซึ่งมักเกิดร่วมกับฝ้า

การทาครีมเหล่านี้ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และควรใช้ร่วมกับการป้องกันแสงแดด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมา

การทำเลเซอร์

การทำเลเซอร์เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมในการรักษาฝ้า โดยการใช้พลังงานแสงเพื่อทำลายเม็ดสี ที่สะสมในผิวหนัง การทำ เลเซอร์มีหลายประเภท ได้แก่:

  • เลเซอร์ Fractional: ใช้แสงที่แบ่งออกเป็นหลายจุดเล็กๆ เพื่อกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และลดเม็ดสี
  • เลเซอร์ Q-Switched: เป็นเลเซอร์ที่มีพลังงานสูง ช่วยในการทำลายเม็ดสีในผิวหนัง ให้กระจายออก
  • เลเซอร์ PicoSure: เป็นเลเซอร์ที่ทำงานในระดับไมโครวินาที ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำลายเม็ดสีในฝ้า โดยไม่ทำให้ผิวหนังเสียหาย

การทำเลเซอร์ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ภายในหลายครั้งของการรักษา ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ และความลึกของฝ้า

การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels)

การทำ Chemical Peels หรือการใช้กรด AHA (Alpha Hydroxy Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการสะสมของเม็ดสีที่เป็นสาเหตุของฝ้า โดยการใช้กรดที่มีคุณสมบัติในการขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผิวที่กระจ่างใสและลดเลือนฝ้า

การรักษาด้วยแสง IPL (Intense Pulsed Light)

การรักษาด้วยแสง IPL ใช้แสงที่มีความยาวคลื่นหลากหลาย ในการลดเม็ดสีในชั้นผิว โดยการทำลายเม็ดสี ที่สะสมในผิวหนัง และช่วยปรับสภาพผิวให้กระจ่างใส การใช้แสง IPL สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

การรักษาด้วยการฉีดตัวยารักษาฝ้า เช่น วิตามินซีหรือกลูตาไธโอน

การฉีดวิตามินซี หรือกลูตาไธโอนเข้าไปในผิวหนัง ช่วยบำรุงผิว และลดการเกิดฝ้า วิตามินซี ช่วยลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน และทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ส่วนกลูตาไธโอน ช่วยทำให้ผิวขาว และช่วยลดการอักเสบ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาฝ้าได้

การดูแลผิวที่มีฝ้า

  1. บำรุงผิวด้วยครีมกันแดดที่มี SPF สูง: การใช้ครีมกันแดดทุกวัน เป็นการป้องกันการเกิดฝ้าระหว่างการรักษา
  2. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และช่วยปรับสมดุลผิว
  3. หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวหรือใช้สารเคมีแรง: การขัดถูผิวแรง ๆ อาจทำให้ฝ้ายิ่งรุนแรงขึ้น

บทสรุป 

ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ก็มีหลายวิธีในการป้องกัน และรักษาฝ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ, การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดด, หรือการรักษาฝ้าด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น เลเซอร์ และการใช้ยาทาฝ้า การดูแลผิวอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณมีผิวหน้าที่กระจ่างใส และลดการเกิดฝ้าในอนาคต

รักษาฝ้า

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า