ฝ้า กระ อีกหนึ่งปัญหาผิวที่ทำให้สูญเสียความมั่นใจ และถือเป็นปัญหาใหญ่ในเรื่องความงามอันดับต้นๆของคุณผู้หญิงกันเลยทีเดียว

เพราะการมีฝ้า กระ นอกจากจะทำให้หน้าดูหมอง ไม่สดใส ออร่าไม่มีแล้ว ยังทำให้การแต่งหน้าเป็นไปอย่างยากลำบากมากขึ้น ต้องโบกรองพื้นให้หนา เพื่อปกปิดรอยฝ้า กระ ทำให้ดูหน้าสูงวัยขึ้น อยากจะหน้าสดออกจากบ้าน หรือแต่งเบาๆแบบ natural   look ก็ทำไม่ได้ และยังส่งผลให้ไม่มีความมั่นใจเวลาถ่ายรูปด้วย

ปัญหา ฝ้า กระ เกิดจากอะไร?

            ฝ้า กระ เกิดจากลักษณะผิวหนังที่มีการทำงานผิดปกติในการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) โดยสาเหตุของปัญหาที่สำคัญคือแสงแดด เพราะเมื่อเวลาที่เราโดนแสงแดด หรือรังสี UV เม็ดสีเมลานินจะทำงานเพื่อกรองรังสียูวีที่มากระทบผิว ไม่ให้เกิดความเสียหายต่างๆ ตามมา ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราโดนแสงแดดมากเกินไป จะเป็นการไปกระตุ้นเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนัง ทำให้เมลานินถูกผลิตออกมามากขึ้น เพื่อปกป้องผิวจากรังสี UV โดยเฉพาะรังสี UVA ตัวการที่มักทำให้เกิดฝ้า กระ เพราะมีช่วงคลื่นที่ยาวกว่ารังสี UVB และสามารถทำลายผิวได้ลึกกว่า จึงทำให้ร่างกายต้องผลิตเมลานินออกมามากขึ้นเพื่อดูดซับรังสียูวี ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นมีจุดสีเข้มขึ้นบนใบหน้าได้อย่างชัดเจนจนเกิดเป็นฝ้า กระ ที่เรารู้จักกัน

เมลานิน (Melanin) คืออะไร?

เมลานินเป็นสารสีชนิดหนึ่งในร่างกายของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยสารสีชนิดนี้จะเป็นตัวกำหนดสีผม และขนของสัตว์ รวมไปถึงยังมีผลต่อสีผิวของมนุษย์ด้วยเช่นกัน 

สำหรับในร่างกายมนุษย์นั้น เมลานินจะเป็นเม็ดสีที่สร้างจากผิวหนัง เรียกว่า เมลาโนไซต์ (melanocyte) เป็นสารสีที่มีน้ำหนักโมเลกุลสูง ซึ่งมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดงไปจนถึงสีดำ ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการผลิตเมลานินออกมามากขึ้น จะทำให้ผิวคล้ำขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม เมื่อมีปริมาณเมลามินจำนวนน้อย ก็จะทำให้ผิวสว่างขึ้นนั่นเองค่ะ

บางคนไม่ได้โดนแสงแดดนาน แต่ทำไม ฝ้า กระ ยังขึ้น?

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า แม้เราจะไม่ได้ต้องทำงาน หรือมีโอกาสออกไปเจอแดดบ่อยๆ แต่ก็ยังสามารถเป็นฝ้า กระ ได้ โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือคนที่ต้องทำงานหน้าจอคอมนานๆ เป็นประจำ เนื่องจากคอมพิวเตอร์นั้นสามารถปล่อยรังสี UVA รวมไปถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาได้ 

อย่างที่เคยกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ตัวการสำคัญที่มักทำให้เกิดฝ้า กระ จะเป็นรังสี UVA ที่พบอยู่ในแสงแดด ดังนั้น ต่อให้เราจะไม่ได้โดนแสงแดด แต่การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เอง ก็ยังสามารถทำให้เราเป็นฝ้า กระ ได้ เพราะปล่อยรังสี UVA ออกมาได้ด้วยเช่นกันค่ะ

สาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เกิดฝ้า กระ บนใบหน้า?

            แน่นอนค่ะว่า ฝ้า กระ เป็นปัญหาผิวที่เกิดจาก การที่เซลล์ สร้างเม็ดสี หรือเมลานินที่ทำงานผิดปกติ จึงส่งผลให้เกิดการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป ทั้งนี้ มีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เมลานิน ทำงานผิดปกติ? ไปดูกันเลยค่ะ

1. การโดนแดดบ่อยๆ หรือตากแดดเป็นเวลานาน

แสงแดด เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิด ฝ้า กระ  โดยเฉพาะคนที่ต้อง ออกไปทำงานโดนแดดบ่อยๆ หรือจำเป็นต้องเจอแดดเป็นเวลานาน จะมีโอกาสทำให้ต้องเป็นฝ้า กระ ค่อนข้างมาก เนื่องจากเวลาที่เราโดนแสงแดด เม็ดสีเมลานิน จะทำงานเพื่อกรอง รังสียูวีที่มากระทบผิว ไม่ให้เกิดความเสียหายต่างๆ เป็นการทำงาน เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ เมื่อเราโดนแสงแดด มากเกินไป ก็จะเป็นการไปกระตุ้นเม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนังให้มีการผลิต ออกมาจำนวนมากด้วยเช่นกัน จึงทำให้ผิวบริเวณนั้น มีจุดสีเข้มตามผิว มากขึ้นเรื่อยๆเพราะเมลานินคือเซลล์เม็ดสีที่มีลักษณะสีน้ำตาลแดง ไปจนถึงสีดำนั่นเองค่ะ

สิ่งสำคัญที่อยากเน้นย้ำคนรักผิว ไม่ว่าเราจะออกไปข้างนอก หรืออยู่แต่ในห้อง ก็อย่าชะล่าใจเรื่องทาครีมกันแดดกันนะคะ เพราะในชีวิตประจำวัน เรายังคงมีโอกาสที่จะยังเจอรังสียูวีตัวการร้าย ที่ทำลายผิวได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น จากหลอดไฟต่างๆ ภายในบ้าน จากหน้าจอโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ หรือแสงสีฟ้า ที่ทะลุออกมาจากจอสกรีน 

2. แสงสีฟ้าจากจอโทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์           

            ในบางรายถึงแม้ว่าจะไม่ได้โดนแดด หรือต้องเผชิญแสงแดดเป็นเวลานาน แต่ก็ยังเป็นฝ้า กระ ไม่น้อย ด้วยสาเหตุที่มาจากแสงสีฟ้า โดยจะเป็นแสงที่มาจากจอโทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ที่เราต้องใช้เป็นประจำในทุกๆ วัน ซึ่งแสงดังกล่าวนี้จะปล่อยคลื่นแสงที่เหมือนกันกับ UVA และ UVB ที่ทำให้ผิวเกิดฝ้า กระ ได้ไม่แพ้กันกับแสงแดด จึงเป็นสาเหตุเดียวกันกับการโดนแดดบ่อยๆ หรือตากแดดเป็นเวลานาน นอกจากนี้แสงสีฟ้ายังเข้าไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสติน ในชั้นโครงสร้างผิว ทำให้เซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ผิวหย่อนคล้อย และเข้าไปกระตุ้นการเกิดเม็ดสีเมลานิน จนทำให้ผิวเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำฝังลึก ส่งผลให้ใบหน้าหมองคล้ำ เหนื่อยล้า และดูแก่กว่าวัยค่ะ

3. พันธุกรรม

            กรรมพันธุ์ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่พบว่าหากครอบครัวที่มีพ่อแม่ เป็นฝ้า กระ มีโอกาสที่บุตรหลานจะเป็นฝ้า กระ ด้วยมากถึง 30 – 50% โดยพบในคนเอเชียมากกว่าคนยุโรป ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่เป็นฝ้า กระ โดยกรรมพันธุ์ หากทำการรักษาจนหายแล้ว จะมีโอกาสสูงมาก ที่สามารถกลับมาเป็นได้อีกครั้ง เรียกได้ว่าอาจไม่สามารถรักษา ให้หายขาดได้นั่นเองค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงอยากแนะนำให้ดูแล และป้องกันตัวเองเป็นพิเศษขึ้นอีกหน่อย เพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องเสียเวลารักษาปัญหาฝ้า กระ เป็นเวลานาน จนรู้สึกแย่ถึงขั้นเสียสุขภาพจิตกันไปเลยค่ะ

4. ฮอร์โมน 

ฮอร์โมนที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดฝ้า กระได้ นั่นคือฮอร์โมนเพศหญิง โดยทั่วไปเกิดได้จากความผิดปกติ หรือการได้รับฮอร์โมนมากกว่าปกติ ก็จะทำให้เกิดฝ้าได้ อย่างในกรณีที่เราต้องการคุมกำเนิด ก็จะมีการฉีดยาคุม หรือว่าการกินยาคุมที่มีฮอร์โมนเอสโตเจน (Estrogen) ที่สามารถกระตุ้นให้เกิดฝ้า กระ ได้เหมือนกัน หรือในกรณีทั่วๆ ไปที่ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้นกว่าปกติ เช่น คนไข้ที่มีภาวะตั้งครรภ์ เป็นต้น ซึ่งฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมน จะสามารถจางลงและหายได้ เมื่อได้รับการปรับสมดุลที่เหมาะสม

5. กินยา หรือฉีดยาควบคุมฮอร์โมน

การรับประทานยาบางชนิดที่มีผลต่อฮอร์โมน ก็เป็นตัวกระตุ้น ที่สามารถทำให้เกิดฝ้า กระ ได้ เช่น ยาคุมกำเนิด ยารักษาไทรอยด์ 

6. การใช้เครื่องสำอางบางประเภท

เครื่องสำอางที่มีส่วนในการก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ หรืออีกประเภทหนึ่งก็คือเครื่องสำอางที่อ้างว่าเป็นครีมหน้าใส ช่วยให้หน้าขาวเร็ว อาจจะมีสารกันบูด หรือสารปรอท ตะกั่ว ที่จะไปกระตุ้นให้เกิดฝ้า ได้ง่ายๆ ครีมเหล่านี้ เมื่อเริ่มทา มักจะเห็นผลเร็วว่า หน้าขาว เรียบเนียนขึ้น แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ผิวจะเริ่มอ่อนแอ หน้าแพ้ง่ายขึ้น พอหยุดใช้ยา หน้าจะยิ่งแย่กว่าเดิม เส้นเลือดฝอยจะชัดขึ้น ทำให้หน้าแดงขึ้น และเมื่อเริ่มมีฝ้า จะเป็นชนิดที่รักษายากมาก ไม่เหมือนกับฝ้าฮอร์โมนที่มีโอกาสหายได้เมื่อมีการปรับฮอร์โมนให้สมดุล

7. การอบซาวน่า

การอบซาวน่า เป็นการใช้ความร้อนสูงในการเปิดผิวหนังเพื่อให้ความร้อนเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้ผ่อนคลาย ซึ่งความร้อนของซาวน่าอาจส่งผลให้ผิวถูกกระตุ้น และมีความไว ต่อการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำต่างๆได้

ฝ้า กระ

ฝ้า กับ กระ แตกต่างกันอย่างไร?

กระ (Freckle)

ส่วนใหญ่พบเป็นลักษณะจุดเล็กๆ สีน้ำตาลอ่อนที่มีการกระจายตัว อยู่ตามบริเวณผิวหน้า และผิวกาย เกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี หรือเมลานินทำงานผิดปกติ เลยทำให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน มากเกินไป จนเกิดเป็นจุด หรือรอยสีน้ำตาลที่กระจายทั่วบริเวณผิว ทั้งนี้ ปัญหากระ มักจะพบกันตั้งแต่เด็ก หรืออายุยังน้อย โดยในช่วงแรกพบว่ากระจะยังมีลักษณะจางๆ ซึ่งเราอาจคิดว่าเมื่อโตขึ้นริ้วรอยดังกล่าวจะเลือนหายไปเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว ปัญหากระนั้นอาจจะมีสีที่เข้มและชัดเจนขึ้นกว่าเดิมได้ โดยกระ จะสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท ดังนี้

  • กระแดด มีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบๆ ขนาดเล็ก ขอบชัด มีสีดำหรือสีน้ำตาล มักจะเกิดขึ้นบริเวณที่โดนแดดบ่อยๆ เช่น ใบหน้า แขนขา เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ที่มีผิวขาว และอายุมาก
  • กระตื้น มีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็กๆ เกิดจากเซลล์เม็ดสีทำงานผิดปกติมาตั้งแต่เกิด ทำให้เซลล์เม็ดสีมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ทำให้มีกระตั้งแต่วัยเด็ก ยิ่งถ้าไม่ดูแล ปล่อยให้หน้าโดนแดดจัดบ่อยๆ กระจะเข้มขึ้น ใหญ่ขึ้น และเพิ่มจำนวนมากขึ้น 
  • กระลึก เกิดจากความผิดปกติของเซลล์เม็ดสีในบริเวณชั้นหนังแท้ มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆหรือเป็นแผ่นปื้นสีน้ำตาล เทา ดำ ขอบไม่ชัด มีลักษณะคล้ายฝ้า ส่วนใหญ่จะขึ้นบริเวณโหนกแก้ม ดั้งจมูก ขมับทั้ง 2 ข้าง เป็นต้น
  • กระเนื้อ เกิดจากผิวหนังชั้นหนังกำพร้าเจริญเติบโตมากจนผิดปกติ เมื่อถูกกระตุ้นจากแสงแดด และอายุที่มากขึ้น ก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีจำนวนมากขึ้น มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆสีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลเข้ม ส่วนใหญ่จะพบบริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก หลัง โดยอาจขึ้นเป็นตุ่มเนื้อเล็กๆ แล้วค่อยขยายใหญ่ขึ้น นูนขึ้น และสีเข้มขึ้น
ฝ้า กระ ต่างกันอย่างไร

ฝ้า (Melasma) มีลักษณะอย่างไร?

ลักษณะของฝ้านั้นจะมีความแตกต่างจากกระอย่างเห็นได้ชัด เพราะจะเป็นแผ่นปื้นใหญ่ๆ  มีสีน้ำตาลหลายเฉด มีสีอ่อนไปจนถึงสีเข้มมาก รวมถึงมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง จะขยายวงและลงลึกไปในชั้นผิวมากขึ้น

อยากปกป้องผิวจากปัญหาฝ้า กระ มีวิธีไหนบ้าง?

  1. หลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลาประมาณ 10.00 – 16.00 น. หรือถ้าจำเป็นต้องออกแดดในช่วงนั้น ควรพกร่มที่กันรังสียูวี หรือ ใส่หมวก จะช่วยกันไว้ได้ส่วนหนึ่ง
  2. ทาครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 50 PA+++ เป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันทั้งรังสี UV A  และ B และควรทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที
  3. ทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว หรือถ้าไม่ชอบทาครีม วิธีการ  Drip Vitamin หรือการฉีดตัวยา เมโสหน้าใส (Meso Therapy) เข้าไป ก็เป็นวิธีที่ทำให้ได้ผลลัพธ์เร็วขึ้นควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาเพิ่มฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยาควรหลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการกระตุ้นฮอร์โมนในร่างกาย เช่น พักผ่อนน้อย เครียด ขับถ่ายไม่เป็นเวลา เพราะเมื่อฮอร์โมนไม่สมดุล ทำงานได้ไม่ดี จะทำให้เมลานินทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดฝ้า กระ ตามมาได้
  4. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่มีพวกสารปรอท หรือมีตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ผ่าน อย. เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ มักจะมีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และทำให้เกิด ฝ้า กระ ตามมาได้

รักษาฝ้า กระ ด้วยวิธีไหนได้บ้าง?

ฝ้า กระ จะมีการรักษาที่คล้ายคลึงกัน เพราะส่วนใหญ่จะเกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน สำหรับฝ้า ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ทำให้จางลงได้ โดยเฉพาะฝ้าที่มีสาเหตุจากฮอร์โมน เช่น ผู้หญิงตั้งครรภ์ , รับประทานยาคุมกำเนิด หรือผู้ที่รับฮอร์โมนเสริม ซึ่งวิธีการรักษาก็จะมีทั้ง การทายา การรับประทานยา และการรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น

  1. รักษาด้วยยาที่มีส่วนผสมที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี เช่น กรดวิตามินเอ , ครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ , Whitening Cream  แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
  2. รักษาด้วยเลเซอร์ลดเม็ดสี เป็นเลเซอร์ที่จะเข้าไปทำลายเม็ดสีภายในเซลล์ ทำให้เม็ดสีแตกตัว และสลายออกไปตามกลไกธรรมชาติ เช่น Q Switch Laser , Fractional Laser , Picosecond Laser

แต่ไม่ว่าจะรักษาด้วยวิธีไหน ที่สำคัญคือควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง เพราะแพทย์จะวินิจฉัย และ follow up เพื่อปรับวิธีการรักษาที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง หรือทายาที่ไม่ได้มาตรฐาน มีสารเคมีที่ทำลายความสมดุลของผิว

ที่สำคัญที่สุดคือ การดูแลตัวเอง พัหผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่ไปรบกวนผิวมากเกินไป แค่นี้ ผิวของเราก็จะแข็งแรง สวยใส อ่อนกว่าวัยแน่นอนค่ะ

Similar Posts